สุดสะพรึง!! ตำนานอาถรรพ์ที่ดินราชประสงค์ (โปรดใช้วิจารณญาณ

2:00 AM


วันนี้ผมใช้หลายชั่วโมง ในการอ่านกระทู้ ดูรูป เหตุการณ์ราชประสงค์ ที่น่าสนใจเริ่มแรกเลยคือ ประวัติพื้นที่เซ็นทรัลเวิล์ด จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ลองไปอ่านดูนะครับ มีความรู้ทางปวศ.เยอะดี แต่ที่ผมสนเป็นพิเศษคือเรื่องของ อาถรรพ์ ผมขอยกมาให้อ่านละกัน

ขออนุญาตเล่าเรื่องที่บอกว่าที่แก่งนี้มีอาถรรพ์แล้วกันนะคะ เพราะดูเหมือนหลายๆจุดในแยกราชประสงค์จะไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก ยกเว้นที่แห่งนี้….เอาทีละคำบอกเล่าเลยแล้วกันนะคะ…… ใน รัชกาลที่ 4 และยังเป็นที่พื้นที่ที่มีคลองตัดผ่านถึงสองเส้น ซึ่งยุคนั้นยังเป็นป่ารกชัฏ ทำให้สี่แยกแห่งนี้เป็นพื้นที่สัญจรมาแต่อดีต คนโบราณเชื่อว่าบริเวณที่เป็นทางแยกใหญ่ๆ มักจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดานางไม้สิงสถิตอยู่ อีกทั้งเมื่อพื้นที่วังซึ่งเป็นของกษัตริย์ ถูกสามัญชนรุกล้ำโดยมิได้บอกกล่าว บ้างก็ว่า..มีการสาปแช่งว่า ห้ามผู้ใดเข้ามาใช้สถานที่นี้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจจะถึงตาย ที่ตรงนั้นเคยเป็นทางแยกและเป็นคลองตรงจุดทางแยก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ มนุษย์ไม่อาจอยู่ตรงกลางสี่แยกนั้นได้นอกจากมนุษย์ที่สิ้นลมแล้ว เป็น ลางไม่ดีอยู่ใกล้โรงพยาบาลตำรวจที่มีคนตายทุกวัน ตั้งแต่ตั้งโรงพยาบาลมามีคนตายไปแล้วหลายพันหลายหมื่นคน เป็นสี่แยกอาถรรพ์แต่บรรพกาล อีกทั้งยังเรียกกันว่าเป็นที่ “ประตูผี” ซึ่งเป็น อาถรรพ์ มีอาถรรพ์ตลอดเนื่องจากว่า เป็นพื้นที่ที่บังโบสถ์วัดปทุมฯ คือองค์พระประธานจะหันหน้ามาทาง CTW ฮวง จุ้ย “ใบพัด” เหมือนกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อมีคนเยอะๆ ใบพัดก็จะหมุน ซึ่งตรงนั้นมีเทพเจ้ามากมาย ส่งผลให้เทพทุกองค์ต่างแสดงอำนาจกันใหญ่ บางตำนานก็เล่า จากประวัติศาสตร์ตอนสร้าง กทม. ลงเสาหลักเมือง กทม. มีการใส่คนจริงยังไม่ตายไปก้นหลุมด้วย พอลงเสาจะกลบหลุมมีงู 4 ตัวเลื้อยลงไปและถูกฝังไปพร้อมกับคน ซึ่งเป็นเครื่องบอกลางอาถรรพ์ของกรุงเทพว่าต้องบูชายันต์เมืองด้วยคนเป็นๆ ตามคำทำนาย อีกส่วนนึงที่เล่าขานกันคือ พื้นที่ปะทะที่เกิดเหตุในปี 2553 เช่น ถนนวิทยุ, ถนนพระราม 4, ถนนสาทร, สี่แยกราชประสงค์ เป็นบริเวณเดียวกับจุดประทะของกบฎวังหลวง เมื่อปี 2492 ที่นำโดย นายปรีดี พนมยงค์(ร่วมกับทหารเรือ) ซึ่งต้องการอำนาจคืนหลังจากถูกกดดันให้ลาออกในปี 2489 และคนสนิทที่ขึ้นเป็นนายกก็ถูกรัฐประหารเมื่อปี 2490 ฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป.รู้ตัวก่อนล่วงหน้าว่าเพราะ มีพูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าไว้ถึง 2 ครั้ง เช่น “เลือดไทยเท่านั้น ที่จะล้างเมืองไทยให้สะอาดได้” เป็นต้น และได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงก่อนถึง 3 วันเกิดเหตุ รวมทั้งได้มีการฝึกซ้อมรบด้วยกระสุนจริงของทหารบก โดยมีพล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ – ยศในขณะนั้น ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และปราบฝ่ายกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์นองเลือดกลางเมือง ได้มีผู้ทำนายเอาไว้ว่า อีกหกสิบให้หลัง พื้นที่แห่งนี้จะต้องเกิดการนองเลือดอีกครั้งนึง นอกจากฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. และพล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ – ยศในขณะนั้น) แล้ว ยังมี จอมพลถนอม อยู่ฝ่ายเดียวกันด้วย ก่อนหน้านั้นนายทหารทั้งสาม ร่วมกับผู้ก่อตั้ง ปชป. ที่ทำการกดดันและยึดอำนาจ จากนายปรีดีและเพื่อนสนิท.. ต่อจากนั้นนายทหาร ทั้งสามนี่ละที่ยึดอำนาจจาก ผู้ก่อตั้ง ปชป. และยังคงรัฐประหารวนเวียนกันของนายทหารทั้งสาม ข้อมูลเพิ่มเติมเช็กได้ที่รายนามนายกฯไทยนะคะ…..มันจะมีเหตุการณ์คล้าย คลึงก้นอยู่เยอะสำหรับเรื่องในอดีตกับปัจจุบัน แต่ดูแล้วความเชื่อที่หนูเชื่อมากที่สุดน่าจะอยู่ตรงนี้ ” ตอนที่พระราชทานที่ดินนั้นในพระบรมราชโองการพระราชทานที่ดินระบุว่า พระราชทานให้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วลูกหลานจนกว่าจะไม่มีผู้สืบสายสกุล” คือ ที่ดินแผ่นนี้มีไว้ให้ลูกหลานอยู่อาศัย เมื่อนำมาใช้ไม่ถูกจุดประสงค์ตามพระบรมราชโองการทำอะไรจึงไม่ขึ้น โดยอย่างยิ่งค้าขาย คำตรัสขององค์กษัตริย์นั้นศักดิ์สิทธิ์นัก

อาจารย์ไพศาลท่านเล่าเอาไว้ เห็นข่าวเรื่องเวิลเทรดฯแล้วนึกถึงคำสาปของเจ้าของเดิม แทบไม่น่าเชื่อ ผมเองนี่แหละที่เป็นผู้นั่งเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรมที่กินแปลงนี้ เป็น คำสาปที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยรู้เห็น ตอนตระกูลเตชะไพบูลย์ได้ไปก็ตามสังเกต มันเป็นไปตามคำบาปจริงๆ ตอนนี้ตระกูลจิราธิวัฒน์โดนบางส่วนแล้ว ยังไม่หมดยังมีอีกต้องตามดู ในคำสาปก็บอกข้อยกเว้นไว้ ต้องแก้บางอย่าง แต่ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าเอาตรีมูรติมาไว้จะแก้ได้ ไม่มีทางหักล้างได้ คนที่รู้เรื่องนี้ตอนนี้เหลืออยู่แค่ ๒ คน คือผมกับเพื่อนทนายอีกคน ผมเองก็จำความละเอียดไม่ได้ทั้งหมดแล้วแต่พอจำบางส่วน เรื่องคำสาบมีมานานนักหนาตั้งแต่ตำนานกำเนิดรามเกียรติ์โน่น แต่คำสาบเกี่ยวกับวังอันลือชา มีอยู่ ๒ วังคือวังหน้ากับวังเพชรบูรณ์ วังหน้าแห่งรัตนโกสินทร์นั้นเป็นของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ทรงรักหวงห่วงมากไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติคนอื่น จึง ทรงสาปแช่งไว้เป็นสาหัสว่าถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันฉิบหานตายโหงสามชั่วโคตรและทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาบด้วย หลังเสด็จสวรรคตแล้วไม่มีผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง แม้พระเจ้า อยู่หัวก็ไม่มีพระราชประสงค์จะให้วิบัติตกแก่ท่านผู้ใด เพราะเกรงคำสาบนั้น จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้าหรือตำแหน่งกรมพระราชวังบวรแล้ว ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทางราชการจึงต้องปรับใช้เป็นพิพิธภันฑ์แห่งชาติมาจนทุกวันนี้ แต่ก็มีที่ปลายวังแสดงความขลังให้ปรากฎ โดยท่านปรีดี ได้ใช้เป็นที่ทำการของนายก ในที่สุดท่านปรีดีผู้มีคุณูปการยิ่งต่อชาติก็มีอันเป็น ครั้งหนึ่งพัน โทชาติชาย ชุณหวัน เอารถถังบุกพังทำเนียบท่าช้างวังหน้านั้น เพราะมีรัฐประหาร ท่านปรีดีต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศจนตลอดชีวิต นี่ก็แค่ที่ปลายวังหน้าข้างที่อาบน้ำช้างเท่านั้น ถ้าตรงที่ตั้งวังจะขนาดไหน

Share this

ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous
Next Post »

EmoticonEmoticon

Note: Only a member of this blog may post a comment.