หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ (พระสุนทรธรรมากร) แห่งวัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม นับเป็นพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่มีวิชาอาคมอันเข้มขลัง มีปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใส มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นพระนักพัฒนา ผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดธาตุมหาชัย รวมทั้งคณะสงฆ์ในจังหวัด และใกล้เคียงอีกจำนวนมาก นับเป็นพระเถราจารย์ที่น่ากราบไหว้อย่างที่สุด
มีตำนานเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งแผ่นดินลาวร้อนระอุ เพราะเกิดภาวสงครามกลางเมืองจากการแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน ทำให้เดือดร้อนมาถึงประเทศไทยต้องส่งกำลังทหารไปตรึงกำลังตามแนวชายแดนเลียบ แม่น้ำโขงเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำอธิปไตยของไทย โดยระหว่างที่ทหารไทยว่างเว้นจากเวรยาม กลุ่มทหารจำนวนหนึ่งทราบข่าวว่าที่วัดป่าแห่งหนึ่งในเขต อ.ปลาปาก มีพระอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในแถบนั้นมาก จึงได้พากันออกเดินทางไปกราบเพื่อขอพรจากท่าน (หลวงปู่คำพันธ์) ทันที
เมื่อกลุ่มทหารเดินทางไปถึงวัดป่าแห่งดังกล่าวที่ชาวบ้านและทหารกล่าวถึง หลวงปู่คำพันธ์ บอกว่า “อาตมาไม่มีอะไรให้หรอกโยม อาตมามีแต่ธรรมะคำสั่งของพระพุทธเจ้าเท่านั้น” นั่นคือประโยคแรกที่หลวงปู่คำพันธ์กล่าวกับญาติโยมและกลุ่มทหารหาญที่คอยปก ป้องรักษาแนวแม่น้ำโขงหลังดั้นด้นเดินทางมาและได้เอ่ยปากขอของดีจากท่าน (หลวงปู่คำพันธ์)
หลวงปู่คำพันธ์ นับเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่ชาวบ้านและกลุ่มทหารกล้าเหล่านั้นได้นั่ง ห้อมล้อมหลวงปู่คำพันธ์ บนศาลาหลังเก่าแก่ ลักษณะเป็นชั้นเดียวเพื่อไว้ใช้สำหรับแสดงธรรมเทศนาในช่วงวันสำคัญๆ หรือวันพระ อีกทั้งยังใช้เป็นที่ฉันภัตตาหารเช้าของพระภิกษุสงฆ์และเณรที่เป็นญาติธรรม ของท่านหลวงปู่คำพันธ์ บรรยากาศในศาลาวัดที่ห้อมล้อมด้วยชาวบ้านและทหารที่ล้วนแน่วแน่ในศรัทธา ในหลวงปู่คำพันธ์ เริ่มมีเสียงอ้อนและร้องขอของดีจากท่านเป็นเสียงเดียวกันของผู้มาเยือนอย่าง พร้อมเพรียง
ท่าน (หลวงปู่คำพันธ์) จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “โน่น…ไปเอาเม็ดทรายกลางแม่น้ำโขงโน่น” เมื่อคำพูดของหลวงปู่ฯ สิ้นสุดลง นั่นหมายความว่าท่านได้บอกใบ้ไปแล้ว ชาวบ้านรู้ทันทีว่า หลวงปู่ฯ ให้ไปเอาเม็ดทรายกลางแม่น้ำโขงมาให้ท่านปลุกเสกแผ่บารมีให้อย่างแน่นอน ทั้งหมดจึงกราบลาหลวงปู่ฯ แยกย้ายกลับบ้าน ถัดมารุ่งขึ้นกลุ่มทหารและชาวบ้านเดินทางมากราบหลวงปู่ฯ อีกครั้งพร้อมกับนำเม็ดทรายจากกลางแม่น้ำโขงมาให้ท่านได้ปลุกเสกด้วย โดยท่านมีเมตตาได้แผ่พลังจิตปลุกเสกให้ตามที่พวกเขาต้องการและแจจ่ายทุกคนใน ที่นั้น
หลวงปู่ฯ ได้นำเอาเม็ดทรายกลางแม่น้ำโขงมาเสกแปรธาตุเช่นเดียวกับที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้เคยทำมาแล้ว จึงนับว่าหลวงปู่คำพันธ์ได้นำแบบอย่างมาทำเป็นคนแรกในภาคอีสาน เมื่อกลุ่มทหารนำเม็ดทรายกลางแม่น้ำโขงมาพกไว้ติดตัวแล้ว ปรากฏว่าเมื่อเกิดการปะทะกันขึ้นกับทหารฝั่งลาว แต่ทหารไทยที่รักษาแนวแม่น้ำโขงไม่ได้รับอันตรายใดๆ แม้แต่น้อย จึงสร้างความอัศจรรย์ใจแก่คณะทหารเหล่านั้น
ตั้งแต่นั้นเรื่อยมาทหาร ตำรวจ และชาวบ้านใกล้เคียงต่างหลั่งไหลไปขอของดีอย่างเม็ดทรายศักดิ์สิทธิ์จากหลวง ปู่คำพันธ์ไม่ขาดสาย จนทำให้ชื่อเสียงของท่านถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะอำนาจบารมีอันสูงส่งของหลวงปู่ฯ นั่นเอง
ต้องยอมรับว่าแม้แต่เม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ยังมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกปักรักษาให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์ใจ และเมื่อท่านหลวงปู่คำพันธ์ได้จัดสร้างพระกริ่งของท่าน ทุกวันจะมีเม็ดทรายกลางแม่น้ำโขงที่ท่านได้ปลุกเสกอธิษฐานจิตแล้วนำมาบรรจุ ไว้ที่ใต้ฐานพระทุกองค์
แม้วิชาอาคมของท่านหลวงปู่คำพันธ์ จะแกร่งกล้าสร้างความพิศวงให้กับลูกศิษย์ลูกหามามากมาย หลวงปู่คำพันธ์ยังเป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ แถมยังมาสายพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ให้การอบรมวิปัสสนากรรมฐานประจำที่วัดป่ามหาชัย วัดป่ามหาชัย จึงเป็นวัดต้นแบบของการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในเขต จ.นครพนม
สำหรับวัดป่ามหาชัยถือเป็นวัดที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมประชาชน เมื่อปี 2529 เป็นต้นมา และได้พระภิกษุจากอาวาสต่างๆ ใน จ.นครพนม สนใจแนวทางการปฏิบัติกรรมฐาน เข้ามาเรียนรู้และลองปฏิบัติ จนเกิดความเข้าใจในหลักพระกรรมฐาน ได้นำไปเผยแผ่ในเขตอาวาสของตน การปฏิบัติธรรมกรรมฐานได้แพร่หลายใน จ.นครพนม จนถึงปัจจุบัน และยังได้นำพาศิษยานุศิษย์จัดปฏิบัติธรรมกรรมฐานในสถานที่ต่างๆ สืบต่อไปไม่รู้จบ
หลวงปู่คำพันธ์ ได้ละสังขารในกุฏิจำพรรษาด้วยโรคชราภาพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. 2546 ที่วัดธาตุมหาชัย สิริรวมอายุได้ 89 พรรษา สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้ที่เคารพอย่างยิ่ง
Cr. Patjaa
EmoticonEmoticon
Note: Only a member of this blog may post a comment.